ในสถานการณ์ที่ไวรัส COVID-19 กำลังแพร่ระบาด ระบบการศึกษาก็ต้องปรับให้เป็นลักษณะของการศึกษาทางไกล ทำให้เกิดการตื่นตัวอย่างกว้างขวางในการใช้เครื่องมือ แพลตฟอร์มออนไลน์ในการพัฒนาบทเรียนและรูปแบบการถ่ายทอดความรู้กันผ่านหน้าจอ ซึ่งถือเป็นนิมิตหมายที่ดี ที่วิกฤตนี้ได้มาเร่งกระบวนการศึกษายุคใหม่ให้เกิดขึ้นเร็วและกว้างขวางกว่าเดิม 

แต่แพลตฟอร์มการเรียนออนไลน์ก็ยังไม่ใช่หัวใจสำคัญของการศึกษาเสียทีเดียว เพราะเมื่อมีการเปลี่ยนช่องทางจากห้องเรียนจริงมาเป็น Virtual Classroom ห้องเรียนเสมือนจริงบนแพลตฟอร์มออนไลน์  ปฏิสัมพันธ์ระหว่างคุณครูกับนักเรียนก็ย่อมลดลงตามไป จึงเป็นโจทย์ที่ท้าทายสำหรับคุณครูว่าจะทำอย่างไรให้ลูกศิษย์ยังคงตื่นตัว สนใจไปกับการเรียนได้ ในแง่ของการเรียนการสอนที่ “ยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง” หรือการจัดการเรียนรู้แบบ Active Learning 

ซึ่งการจัดการเรียนออนไลน์แบบ Active Learning ให้เป็น High Functioning Classroom ห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพสูงทั้งกระบวนการและผลลัพธ์การเรียนรู้ของผู้เรียนได้นั้น จะมีองค์ประกอบสำคัญที่จะช่วยให้คุณครูทำงานง่ายขึ้น โดยเริ่มจาก

 

 

ศึกษาธรรมชาติของนักเรียนสภาพแวดล้อม

และบริบทต่างๆก่อนออกแบบเนื้อหาการสอน

ในช่วงเวลาวิกฤตแบบนี้ การที่นักเรียนจะเกิดความตื่นตัวไปกับการเรียนการสอนได้นั้น สิ่งสำคัญคือเนื้อหาว่าเขามีความสนใจอยู่หรือไม่ เกี่ยวข้องกับชีวิตของเขาในตอนนี้อย่างไร ให้คุณค่าในการนำไปใช้จริงอย่างไรได้บ้าง ดังนั้นการศึกษาธรรมชาติของนักเรียน สภาพแวดล้อม และบริบทต่างๆ ที่พวกเขาโตมา รวมถึงสถานการณ์โลกที่พวกเขาต้องเจอ ก็จะช่วยให้คุณครูสามารถออกแบบการเรียนการสอนได้ง่ายและตรงโจทย์ความต้องการมากขึ้น

ซึ่งวิชาที่สอนในที่นี้ อาจไม่ใช่วิชาสามัญตามห้องสี่เหลี่ยม แต่เป็น “Life Project” ที่มีความสอดคล้องกับชีวิตจริง ให้เด็กๆ สามารถลงมือทำได้จริง เกิดการเรียนรู้เองได้จริง เป็นการควบรวมรายวิชาในลักษณะของการบูรณาการให้น้ำหนักไปกับวิชาสัมมนา วิชาค้นคว้าอิสระ วิชาวิทยาการวิจัย และวิชาการสร้างสรรค์นวัตกรรม เช่น ให้เด็กแต่ละคนไปศึกษาในหัวข้อ “My family’s happiness” ในช่วง COVID-19 แล้วมาแชร์เป็นไอเดีย ต่อยอดไปด้วยกัน  

โดยกระบวนการเรียนรู้และมอบหมายงานต่อผู้เรียน 1 หน่วย จะไม่ได้มีนักเรียนแค่ 1 คนอีกต่อไป แต่จะนับรวมคุณพ่อคุณแม่ ผู้ปกครอง เข้ามาด้วย นั่นหมายความว่าครอบครัวของนักเรียนจะเข้ามามีบทบาทสำคัญที่จะเป็นตัวกลางระหว่างคุณครูและนักเรียน รับรู้ว่าบุตร หลานกำลังเรียนอะไร ทำอะไรอยู่ ในบางครั้งก็เป็นเหมือนผู้ขับเคลื่อน (Facilitator) หรือเป็นโค้ชที่คอยดูแลระหว่างที่กำลังลงมือเรียนรู้ด้วยตนเอง

 

 

Tips & Tricks
ในการสร้างความ Active Learning บนโลกออนไลน์

 

1.เปิดเวทีให้เด็กแต่ละคน แชร์เรื่องราวตัวเอง

เริ่มการเรียนด้วยกิจกรรมสนุกๆ ด้วยการสลับไมค์ให้เด็กพูดถึงตัวเอง วิเคราะห์ศักยภาพตัวเองให้เพื่อนๆ และคุณครูฟังไม่ว่าจะเป็นข้อดีข้อด้อย ความสามารถพิเศษและแนวคิดสิ่งที่อยากทำ เพื่อให้เกิดวัฒนธรรมการแลกเปลี่ยนตั้งแต่เริ่มต้น โดยใช้แพลตฟอร์มที่คุณครูสามารถควบคุมสวิทช์ไมโครโฟนได้ เป็นเหมือนผู้ดำเนินรายการ

2.เรียนในออนไลน์ แล้วไปต่อในชีวิตจริง

เมื่อคุณครูและนักเรียนได้ศึกษา ทำความเข้าใจในศักยภาพกันและกันแล้ว ก็เป็นเวลาที่ครูจะเข้าเนื้อหา ด้วยสื่อการเรียนรู้ที่เตรียมไว้ ซึ่งสื่อในที่นี้ควรมีฟีเจอร์ที่หลากหลาย นำเสนอได้ทั้งเป็นภาพ เสียง คลิป จากนั้นลองให้นักเรียนแชร์ไอเดียสิ่งที่ตัวเองสนใจ ก่อนจะแยกย้ายกันไปลงมือศึกษาค้นคว้าประดิษฐ์คิดค้นด้วยตนเอง  โดยมีคุณพ่อ คุณแม่ผู้ปกครองหรือคนในครอบครัวเป็นโค้ชช่วยดูแล ซึ่งขอบเขตที่เหมาะสมของงานอยู่ที่ความสะดวก ความพร้อมของนักเรียน อุปกรณ์ที่มีรอบตัวเป็นสำคัญ

3.ติดตามผลงานไปพร้อมกัน

โดยระหว่างการลงมือทำ ครูอาจจะมีการนัด Video Call ให้เด็กนักเรียนมาเล่าความก้าวหน้า โดยมีการเก็บข้อมูลเพื่อทำการประเมินผลตามสภาพจริง (Formative Assessment) แบบครบวงจร เช่น นักเรียนเจ้าของผลงานมาแชร์ความก้าวหน้าพร้อมประเมินตนเองไปด้วย มีคุณครูและเพื่อนๆ ร่วมประเมิน พูดคุย เป็นการแลกเปลี่ยนไอเดีย แลก Feedback กันไปในตัว ค่อยๆ ตามผล ก้าวไปด้วยกันจนถึงขั้นตอนสุดท้ายที่คุณครูจะประเมินตัวผลงานฉบับ Final

4.รีวิวบทเรียนที่ผ่านมา + วาง Next Step

พอได้ประเมินผลงานการลงมือทำจริงของนักเรียนไปแล้ว คุณครูก็จะเห็นภาพมากขึ้นว่าเด็กๆ มีศักยภาพและได้ใช้ความรู้ในสาขาวิชาไหนไปบ้าง เพื่อเป็นแนวทางในการออกแบบวิธีให้คะแนนที่สอดคล้องกับบทเรียน แล้วมา Video Call รีวิวงานกันอีกครั้งแบบ AAR (After Action Review) 

โดยประเด็นการพูดคุยจะเป็นเรื่องของการเรียนรู้ที่ผ่านมา อุปสรรคปัญหา วิธีการแก้ไข ตลอดจนมองไปที่
Next Step ว่าจะพัฒนาตนเองและผลงานอย่างไรในอนาคต ถ้ามีโอกาสได้เรียนวิชาที่เกี่ยวข้องกับการสร้างสรรค์ชิ้นงานอีกครั้ง โดยคุณครูอาจจะชวนคิดให้นักเรียนขยายสเกลงาน ทำในสิ่งที่จะสร้างผลลัพธ์ในวงกว้างมากขึ้นเรื่อยๆ ก็ได้ เช่น ครั้งแรกอาจจะทำเพื่อตัวเองและครอบครัว ครั้งต่อไปอาจจะเริ่มทำเพื่อชุมชนใกล้เคียง และต่อไปอาจจะเริ่มทำในสิ่งที่กระทบกับคนในประเทศและสังคมโลกในที่สุด เป็นต้น

สรุป

ซึ่งวิธีทั้งหมดนี้ คุณครูจะเป็นพลังขับเคลื่อนสำคัญที่จะช่วยให้ห้องเรียนออนไลน์เกิดความ Active Learning ได้อย่างต่อเนื่อง ด้วยการคอยตั้งคำถามปลายเปิดที่จะกระตุ้นให้นักเรียนคิดตามอยู่ตลอดเวลา ผสมผสานกับการวิธีการสื่อสารอย่างสร้างสรรค์ พร้อมเลือกใช้สื่อการเรียนการสอนที่เหมาะสมในการสร้างองค์ความรู้ สร้างแรงบันดาลใจ เกิดเป็นห้องเรียนที่มีประสิทธิภาพไปพร้อมๆ กัน

 

ขอบคุณข้อมูลจาก www.eef.or.th